ตลาดบ้านหรูราคา10ล้านบูมดันแนวราบเอสซีแอสเสทโต38%

คอลลิเออร์ส เผยบ้านหรูระดับ10ล้านบาทขึ้นไปโตต่อเนื่อง เหตุกลุ่มเรียลดีมานด์หันมาซื้อบ้านแทนคอนโดหนุนยอดขายแนวราบเอสซี แอสเสทโต38%

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ( ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดแนวราบครึ่งปีแรกในปี 2563 พบว่ามีที่อยู่อาศัยแนวราบในกรุงเทพฯ ที่อยู่ระหว่างการขาย 356 โครงการ จำนวน 59,963 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 418,938 ล้านบาท โดยได้รับการดูดซับไปแล้ว 58% และคงเหลือซัพพลายในตลาด 25,000 ยูนิต และสำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปที่อยู่ระหว่างการขาย พบว่ามีจำนวน 99 โครงการ จำนวน 8,262 ยูนิต มูลค่า 147,635 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 13.8% ของที่อยู่อาศัยแนวราบในกรุงเทพฯ ที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด

ทั้งนี้ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปในกรุงเทพฯ มีการเปิดตัวใหม่จำนวน 6,397 หน่วย หรือเฉลี่ย 1,280 ยูนิต/ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นทุกปี และราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการปรับราคาของผู้พัฒนาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2561 มีการเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมากที่สุด จำนวน 2,345 ยูนิต ส่วนปี 2563 คาดว่าจะมีการเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด 1,500 ยูนิต และสำหรับทำเลที่มีการพัฒนาโครงการแนวราบในระดับราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมากที่สุด เดิมมีอยู่ด้วยกัน 2 ทำเล ได้แก่ คือย่านเรียบด่วนรามอินทราและราชพฤกษ์ แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าได้มีการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปในทำเลถนนพัฒนาการ อ่อนนุช และกรุงเทพกรีฑามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายภัทรชัย กล่าวอีกว่า สำหรับในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นดีเวลล็อปเปอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด คิดเป็น 28% รองลงมาคือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 26% และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 21%

นายภัทรชัย ยังกล่าวว่า ปีนี้ตลาดแนวราบถือเป็นดาวเด่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากยังมีอัตราการเติบโตได้ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดบ้านหรูในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะหลังจากเกิดโควิด-19 ลูกค้ากลุ่มนี้เปลี่ยนจากคอนโดมิเนียมมาซื้อบ้านมากขึ้น ขณะที่ตลาดคอนโดใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา พบว่ามีซัพพลายใหม่15,500ยูนิต ส่งผลให้ตลาดติดลบ 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คาดว่า สิ้นปีนี้ตลาดคอนโดจะติดลบถึง55%

นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงาน การตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 4ปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 5,900 ล้านบาท โดยจะเปิดขายพร้อมกัน 2 โครงการแรกในเดือนต.ค. ได้แก่ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด อีสต์ พระราม9 ติดถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก มูลค่า 1,400 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 48 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาทต่อยูนิต และโครงการ เดอะ เจนทริ พัฒนาการ มูลค่า 1,400 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น จำนวน 34 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 29.9 ล้านบาทต่อยูนิต

ส่วนอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเฮด ควอเตอร์ส วิภาวดี มูลค่า 100 ล้านบาท เป็นโฮมออฟฟิศสไตล์ Modern Luxury จำนวน 6 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 15.99 ล้านบาทต่อยูนิต และ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เวสต์เกต มูลค่า 1,600 ล้านบาท เป็นบ้าน 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น จำนวน 168 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 7.99-20 ล้านบาทต่อยูนิต จะเปิดขายเดือนพ.ย.นี้
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายจาก 4 โครงการใหม่ ในช่วงไตรมาส 4/2563 ไว้ประมาณ 400-500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนออกแคมเปญทางการตลาด มอบส่วนลดหน้างานสำหรับลูกค้าที่จองบ้าน เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ล่าสุดบริษัทมีสินค้าพร้อมขาย (Inventory) โครงการแนวราบรวมมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท รองรับความต้องการที่มีอย่างต่อเนื่อง

โดยคาดว่ายอดขาย (Presale) รวมปีนี้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 17,000 ล้านบาท ซึ่ง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.)บริษัทมียอดขายเฉพาะจากโครงการแนวราบ 11,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปี 2563 ที่ 12,000 ล้านบาท