“ศูนย์ข้อมูลฯ”ชงรัฐ ลดค่าโอน-จำนอง บ้าน3-5ล.ฟื้นตลาด

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะรัฐขยายเพดานลดค่าโอน-จดจำนอง จากราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพิ่มเป็น 3-5 ล้านบาท เชื่อกระตุ้นกำลังซื้อคึกคัก เหตุเป็นพอร์ตใหญ่ มูลค่าเหลือขายสูงสุดในตลาด ชงรัฐถกแบงก์โยกหนี้สั้นรวมพอร์ตระยาว เพิ่มเพดานก่อหนี้ เร่งกระตุ้นตลาดฟื้น

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะรัฐขยายเพดานลดค่าโอน-จดจำนอง จากที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพิ่มเป็น 3-5 ล้านบาท เชื่อกระตุ้นกำลังซื้อคึกคัก เหตุเป็นพอร์ตใหญ่ มูลค่าเหลือขายสูงสุดในตลาด ชงรัฐถกแบงก์โยกหนี้สั้นรวมพอร์ตระยาว เพิ่มเพดานก่อหนี้ เร่งกระตุ้นตลาดบ้านมือสอง ดึงคนมีเงินซื้ออสังหาฯ

++++++++++

ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเซ็คเตอร์ที่ติดหล่มเศรษฐกิจหนัก จากผลกระทบโควิด-19 ลากยาว จนสุดอั้น จากยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวหนัก ผู้ประกอบการอสังหาฯ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นคนมีเงิน แต่ยังลังเลที่จะซื้อที่อยู่อาศัย เร่งการตัดสินใจซื้อ

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ยังมีแนวโน้มชะลอตัวไม่ต่ำกว่า 2 ปี โดยเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการ Macroprudential หรือการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV -Loan to Value) และเริ่มกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คาดว่า ณ สิ้นในปี 2563 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 319,210ยูนิต ลดลง 18.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย2ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 392,863 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า723,213ล้านบาท ลดลง22.3% ลดลงจากค่าเฉลี่ย2ปี ที่มีมูลค่า933,021ล้านบาท

คาดใช้เวลา5ปีฟื้นสู่จุดสูงสุดปี61

โดยคาดว่าต้องใช้เวลาถึง5ปี กว่าตลาดอสังหาฯ จะฟื้นกลับไปในจุดที่เติบโตสูงสุดในปี2561 ซึ่งมีการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศสูงสุดอยู่ที่702,900ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลสำรวจยังพบว่า จำนวนหน่วยเหลือขายในตลาดมีทิศทางสูงขึ้น โดยสิ้นปี 2563 คาดว่าจะมีหน่วยเหลือขายสูงสุดในรอบ 5 ปี หรืออาจจะเกินกว่านั้น โดยในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาพบว่า อัตราเหลือขายไม่ถึง 3 แสนหน่วย แต่หน่วยเหลือขายเริ่มทะลุ 3 แสนหน่วย อยู่ที่301,098 ยูนิตตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2562 โดยในครึ่งแรกของปี2563 หน่วยเหลือขายลดลงเล็กน้อย อยู่ที่293,319ยูนิต

โดยเมื่อประเมินจากอัตราดูดซับที่มีแนวโน้มลดลง โดยในครึ่งหลังของ 2563 คาดว่าจะมีหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นไปแตะ 319,528ยูนิต คิดเป็นมูลค่า1.4ล้านล้านบาท ทิศทางหน่วยเหลือขายไม่หยุดแค่เท่านี้ ในสิ้นปี2564 ยังจะทะยานเพิ่มขึ้นถึง 328,578ยูนิต คิดเป็นมูลค่า1.5ล้านล้านบาท